เรื่องเล่าชาวเรือ ตอนที่ 3 เรื่องเล่าของโอไรออน
- Pakkard
- 7 ธ.ค. 2564
- ยาว 3 นาที
อัปเดตเมื่อ 10 ธ.ค. 2564

เรื่องเล่าชาวเรือ
เป็นซีรีส์รวมเรื่องราวของเหล่าโจรสลัดหรือชาวเรือ 12 คน พวกเขาทั้ง 12 คนได้มารวมตัวกัน ณ บาร์เหล้าในเมืองท่าบนเกาะแห่งหนึ่ง พวกเขานั้นมีเพศ อายุ และประสบการณ์แตกต่างกันออกไป แต่เมื่อพวกเขามารวมกันที่นี่สิ่งเหล่านั้นล้วนไม่มีผล ทุกคนต่างพากันเล่าเรื่อของตัวเองออกมา ทั้งเรื่องสุขและเรื่องทุกข์ เรื่องเล่าชาวเรือจึงได้เริ่มต้นขึ้น
ตอนที่ 3 เรื่องเล่าของโอไรออน
ซีรีส์ ความยาวตอนละ 25-30 นาที
-----------------------------------------------------------------------------
เรื่องเล่าชาวเรือ ดำเนินเรื่องตามลำดับการเล่าเรื่องของตัวละคร (ชื่อตอน)
1.เรื่องเล่าของมาเวอร์ริค
2.เรื่องเล่าของเอไลจาห์
3.เรื่องเล่าของโอไรออน
5.เรื่องเล่าของกิลด์เบิร์ต ทอโตเรส
6.เรื่องเล่าของเกลเลิร์ต
9.เรื่องเล่าของรีเอล
10.เรื่องเล่าของเจฟฟี่ มิเดลตัน
11.เรื่องเล่าของแม็กนัส อาร์คัส
12.เรื่องเล่าของซาร่า
13.เรื่องเล่าของบาร์เทนเดอร์นิรนาม
---------------------------------------------------------------------------------
เรื่องย่อ ตอนที่ 3 เรื่องเล่าของโอไรออน
ของเล่นในวัยเด็กของโอไรออนมีเพียงกล้องส่องทางไกลและเรือลำเล็ก เป็นสาเหตุให้เขาหลงใหลไปกับการเดินทางทะเล ตัวเขาในวัยสิบขวบจึงตัดสินใจหนีออกจากบ้านแสนเย็นชาปราศจากไออุ่นและลอบขึ้นเรือโจรสลัดชาเมลซึ่งมาจอดเทียบท่าพอดี เรือโจรสลัดชาเมลเป็นเรือโจรสลัดขนาดใหญ่ มีลูกเรือไม่ตํ่ากว่าห้าสิบคนถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ไม่ใช่โจรสลัดที่ชั่วร้าย เพราะหากชั่วร้ายตอนที่จับโอไรออนได้เขาคงไม่อาจมีชีวิตรอดมาถึงทุกวันนี้ หลังจากได้กลายเป็นสมาชิกบนเรืออย่างเป็นทางการ เขาก็ได้ค้นพบความสามารถในการคาดเดาทิศทางลม ทำให้จากลูกเรือธรรมดาเขาก็ได้เลื่อนขั้นเป็นต้นหนเรือฝึกหัด เขาฝึกฝนและสั่งสมประสบการณ์เป็นเวลาหลายปีจนได้ตำแหน่งต้นหนอย่างเต็มตัว แต่งานแรก ๆ ในฐานะต้นหนของเขากลับนำพาความโชคร้ายมาสู่ชาเมล
---------------------------------------------------------------------------------
ตัวละครในตอนที่ 3
- โอไรออน หรือชื่อเดิมคือ ดีวิล บราวน์
ตัวหลักของตอนที่3 ต้นหนของเรือชาเมล เป็นชายหนุ่มอายุ 29 ปี นัยน์ตาสีออดอาย (Odd Eye) ข้างขวาสีฟ้าทะเล ข้างซ้ายสีเขียวเข้ม ผมสีนํ้าเงินเข้มจนเกือบดำตัดสั้นระต้นคอ เขามีนิสัยแปลกประหลาดชอบพูดคุยกับสายลม ถึงอย่างนั้นก็เข้ากับคนอื่นได้แม้จะโดนมองว่าเป็นคนแปลกไปหน่อยก็ตาม รักการผจญภัย ชอบพกกล้องส่องทางไกลติดตัวไว้เสมอเป็นเหมือนอาวุธคู่ใจ
- เจอราร์ด บราวน์ บิดาของโอไรออน
ประกอบอาชีพพ่อค้าจนรํ่ารวยและมีชื่อเสียงด้วยการค้าขายสินค้าต่าง ๆ ไม่เว้นแม้แต่ของผิดกฎหมายก็เช่นกัน หากแต่เขามีเส้นสายกับผู้รักษากฎหมายทำให้ลอยนวลมาจนถึงทุกวันนี้ มองทุกอย่างเป็นเรื่องของธุรกิจและชอบฉกฉวยผลประโยชน์ให้ตัวเองเป็นประจำ
- เกรซเน่ บราวน์ มารดาของโอไรออน
หญิงสาวผู้หลงใหลในเงินทองและอำนาจ เธอไม่ได้แต่งงานกับเจอราร์ดด้วยความรักหากแต่แต่งงานกันเพื่อธุรกิจ เนื่องจากเธอเองนั้นมาจากตระกูลขุนนางเก่าแก่ ทำให้มีนิสัยหยิ่งยะโส ไม่สนใจคนที่ด้อยกว่าและมักดูถูกเหยียดหยามผู้ที่ด้อยกว่าเสมอ
- นิซาท บราวน์ น้องชายของโอไรออน
น้องชายผู้อายุห่างจากโอไรออน 5 ปี เป็นเด็กร่าเริงสดใสและช่างพูดคุย ทั้งยังมีพรสวรรค์ทางด้านคณิตศาสตร์ เขาได้รับการเลี้ยงดูเอาใจใส่อย่างดีและไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองมีพี่ชายเพราะพ่อและแม่ไม่เคยบอกและหากบังเอิญเจอดีวิลพ่อกับแม่ก็จะบอกเสมอว่านี่คือลูกของคนใช้
- แคพริคอร์น รองกัปตันเรือชาเมล
ชายหนุ่มผู้ทำหน้าที่แทนกัปตันเรือชาเมลอยู่เสมอ เขาคือคนที่รับโอไรออนเข้ามาเป็นลูกเรือ มีเรือนผมสีบลอนด์ทอง นัยน์ตาสีแดงทับทิม เขาเป็นคนนิ่งขรึม สุขุมรอบคอบ คอยทำหน้าที่และออกหน้าแทนกัปตันเสมอจนลูกเรือต่างคิดว่าชายหนุ่มคือกัปตัน เพราะบรรดาลูกเรือชาเมลส่วนใหญ่ไม่เคยมีใครได้เจอกัปตันเรือเลยสักครั้ง
- พิซิส ต้นหนอีกคน
รุ่นพี่บนเรือชาเมลของโอไรออน มีผมและดวงตาสีชา เขาเป็นคนเอื่อยเฉื่อยไม่ค่อยกระตือรือร้นในการทำงาน หากแต่มีฝีมือในการคำนวณและคาดเดาทิศทางของลมได้เป็นอย่างดี รองกัปตันได้ฝากฝังให้เขาดูแลโอไรออนอยู่ห่าง ๆ และกลายเป็นเหมือนอาจารย์และรุ่นพี่อย่างเต็มตัวเมื่อโอไรออนได้รับตำแหน่งต้นหนเรือฝึกหัด ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนสนิทสนมกันราวกับพี่น้องท้องเดียวกันจริง ๆ
ตัวละครเหล่าโจรสลัดเเละบาร์เทนเดอร์ ณ ร้านเหล้าบนเมืองท่า
มาเวอร์ริค (Maverick) พ่อครัวประจำเรือโจรสลัด ผู้ชายอายุยี่สิบกลาง ๆ (น้องเล็กสุดในร้านเหล้านี้) รูปร่างสมส่วน ผมสีบลอนด์ ใส่แว่น จิตใจดี อารมณ์ดี ค่อนข้างขี้เล่น ไม่ค่อยสู้คนเพราะคิดว่าการใช้กำลังไม่ใช่การแก้ปัญหา แต่จับพลัดจับผลูมาทำงานในหมู่โจรสลัดอันเนื่องมากจากกัปตันเคยช่วยให้เขารอดชีวิตจากการไล่ล่าของราชนาวีที่ยัดเยียดข้อหากบฏให้ครอบครัวมาเวอร์ริค ประกอบกับสายตาไม่ดีเลยถูกไล่ให้มาทำงานในครัวแทน แต่เรือโจรสลัดลำนี้ขึ้นชื่อว่า “อาหารไม่อร่อย” ใช่ มาเวอร์ริคทอดไข่ไม่เป็น
เอไลจาห์ หมอประจำเรือโจรสลัด ลูกชายของตระกูลขุนนาง ตัวสูง รูปร่างสมส่วน ตาเขียวมะกอก เเละมีเส้นผมสีดำขลับ เขาอายุยี่สิบปลาย ๆ ตัดสินใจออกจากงานประจำในโรงพยาบาลใหญ่มาเป็นหมอประจำเรือสินค้าด้วยเหตุผลส่วนตัว ก่อนชะตาจะพลิกผันได้กลายเป็นหมอประจำเรือโจรสลัด
ลูปิน นักดนตรีประจำเรืออับปาง ฉายา “ผู้บรรเลงบทเพลงเเห่งลางร้าย” เพราะว่าเมื่อเขาไปเป็นนักดนตรีประจำเรือไหน เรือนั้นจะต้องพบกับโชคร้ายเเละอับปางไปในที่สุด เขาเป็นชายรูปร่างผอมบางน่าถนุถนอม ผิวขาวซีดราวกับไม่เคยต้องเเดดเเผดร้อน ชายหนุ่มอายุ 26 ปี เเต่นอกจากท่าทางสุขุมของเขาเเล้ว ลักษณะภายนอกของเขาจัดว่ายังเด็กมาก เหมือนชายที่เร่ร่อนไปตามรอยต่อระหว่างความเป็นเด็กกับผู้ใหญ่ น้อยคนนักที่จะมองออกว่าเขาอายุเท่าไร นัยน์ตาของเขามักจะมีเเววครุ่นคิดตลอดเวลา ดวงตาสีหม่นจะมีประกายเจิดจ้าก็ต่อเมื่อได้บรรเลงบทเพลงที่เขารัก ทุกคนลงความเห็นว่าเขาอ่อนเเอเกินกว่าจะเป็นโจรสลัดได้ เเต่ก็ไม่เคยมีใครกล้าขับไล่เขาลงจากเรือเพราะบทเพลงของเขานั้นไพเราะจนยากจะต้านทาน เเม้มันจะนำมาซึ่งโชคร้ายของเหล่าผู้สดับฟังก็ตาม เขาเล่นดนตรีได้เเทบทุกชนิด เครื่องดนตรีที่ถนัดที่สุดคือเปียโน เเต่มีเรือโจรสลัดเพียงไม่กี่ลำที่มีเปียโน ดังนั้นเครื่องดนตรีที่เขาเล่นบ่อย ๆ คือไวโอลิน
กิลด์เบิร์ต ทอโตเรส ชายวัยกลางคนอายุ 40 ปีดวงตาสีดำสนิท ผิวสีแทน มีหนวดยาวเหมือนแซนต้า พร้อมรอยสักรอบตัว โดยรวมเหมือน Chris Hemsworth เวอร์ชันละติน
เกลเลิร์ต (Gellert) ชายหนุ่มวัยกลางคนผมสีน้ำเงินอมเขียว ตาสีอำพัน ผิวสีแทน สูงราว 190 เซนติเมตร อุปนิสัยสุขุมผิดกับการเป็นโจรสลัด ไม่ค่อยพูดแต่มักแสดงออกผ่านการกระทำ ติดยาสูบแต่ไม่ดื่มเหล้า เขาเป็นเด็กกำพร้าที่กัปตันเรือรับมาเลี้ยง เขาเติบโตและใช้ชีวิตบนเรือมาโดยตลอด จนกระทั่งเกลเลิร์ตอายุได้ราวยี่สิบปี พ่อบุญธรรมหรือกัปตันเรือโจรสลัดก็เสนอชื่อเขาให้ขึ้นเป็นต้นหนเรือที่อายุน้อยที่สุด เขาแบกรับหน้าที่อันใหญ่หลวงไว้กับตนและไม่เคยมีครั้งไหนที่เขาคำนวน การเดินเรือผิดแม้แต่น้อย และนั่นทำให้เขาขึ้นแท่นเป็นรองกัปตันเรือควบตำแหน่งต้นหน ในช่วงวัยสามสิบต้น ๆ เกลเลิร์ตนับว่าเป็นชายหนุ่มที่เต็มไปด้วยความซื่อสัตย์ ฉลาดปราดเปรื่อง รวมถึงรับผิดชอบงานบนเรือได้เป็นอย่างดี แต่ทั้งนี้เขายังมีปมเรื่องราวในอดีตที่ไม่เคยบอกใคร
แดเนียล (Daniel J. Gonzalez) ตอนเล่าเรื่องอยู่บาร์ เขาอายุประมาณ 30 ปีกว่า ๆ แต่ในเรื่องเล่าเขาอายุประมาณ 20 ปีกว่า ๆ เป็นผู้ชายร่างเล็ก ผิวค่อนข้างเข้ม มีผมสีน้ำตาลอ่อน ตาสีฟ้าทะเล หน้าตาค่อนข้างดี
ซามูเอล ชายหนุ่มผมทอง ยาวประบ่า ตาฟ้า ผิวค่อนข้างขาว หน้าตาดี อายุ 32 ปี เป็นมือปืนของเรือโจรสลัด ปกติค่อนข้างขี้เกียจอู้งานบ่อย สายชิลล์รักสนุกแต่พอได้จับปืนแล้วจะเลือดร้อนง่าย
รีเอล หญิงสาวอายุ 35 ปี ผมหยิกสีแดง ตาสีเขียวเข้ม และมีกระแดดที่แก้ม เดิมทีมีผิวขาวแต่เพราะเป็นโจรสลัดมานานทำให้ผิวคล้ำแดด ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่งเพราะต้องเดินทางตามหาสมบัติบางอย่างเพื่อนำมาชุบชีวิตให้น้องสาวฝาแฝดที่ตายไป ปัจจุบันเป็นกัปตันเรือโจรสลัดโคมฟ้า รีเอลจะพกโคมไฟที่มีแสงสีฟ้าไว้กับตัวตลอดเวลา เจ้าตัวเชื่อว่ามันเป็นวิญญาณของน้องสาวที่ตายไป
เจฟฟี่ กัปตันสุดหล่อ เจ้าของลักยิ้มอันมีเสน่ห์ (ไม่เคยมีใครได้เห็นรอยยิ้มนั้นนอกจากคนรักของเขา) รูปร่างภูมิฐาน ผมสีน้ำตาลอ่อนยาวประบ่า อายุ 35 ปี เจฟฟี่เป็นอดีตนาวาอากาศเอกที่เก่งที่สุดในกองทัพ แต่เขาโดนหักหลัง ถูกใส่ความว่าเป็นกบฎจนต้องระเห็จระเหินจากบ้านเมือง และกลายเป็นโจรสลัดในที่สุด
แม็กนัส อาร์คัส อดีตพลเรือโทอัจฉริยะที่ผันตัวมาเป็นโจรสลัดเพราะถูกทรยศ เป็นชายหนุ่มอายุ 27 ปี ผู้มีดวงตาสีฟ้าน้ำทะเล ผิวกายสีแทน และเรือนผมสีฟ้าอ่อนยาวจรดกลางหลังที่ใช้เศษผ้ามัดไว้ลวก ๆ เขามักใส่ชุดทหารเรือเก่ากรุ ขาดวิ่น เเละไร้ซึ่งเข็มตราเกียรติยศ
ซาร่า กัปตันเรือสาว นักล่าค่าหัวเเห่งเรือฟอร์จูน ผมสีเเดงเพลิง นัยน์ตาสีฟ้าน้ำทะเล อายุ 20 ปลาย ๆ ถึงจะเป็นผู้หญิงเเต่ไร้ซึ่งความปราณี ผิวขาวสะอาดตาจนไม่น่าเชื่อว่าเป็นโจรสลัด เธอมีอดีตที่เเสนขมขื่น ต้องปากกัดตีนถีบตั้งเเต่พ่อเเม่ถูกปล้นฆ่าเมื่อครั้นยังเด็ก
บาร์เทนเดอร์ไร้นาม ผู้คนเรียกขานเขาเพียงแค่นาม บาร์เทนเดอร์หรือมาสเตอร์เจ้าของร้านเหล้า ร่างจำแลงเป็นชายหนุ่มเจ้าของร้านเหล้า ทว่าร่างที่แท้จริงเป็นสัตว์ร้ายในตำนาน สัตว์ประหลาดผู้สร้างภาพลวงตา เขาเนรมิตเมืองทั้งเมืองขึ้นมาบนเกาะ เพื่อล่อลวงให้เหล่านักเดินทางและโจรสลัดที่ผ่านทางมาเข้าติดกับ ไม่มีใครรู้ว่าเขามาจากไหนหรืออยู่มานานเพียงใด ตัวตนของเขาอยู่เหนือกาลเวลา ใช้ชีวิตเรื่อยมาโดยรับฟังทุกเรื่องราวความเป็นไปของโลกผ่านปากของเหล่านักเดินทางทั้งหลาย
-------------------------------------------------------------------------------------
ฉากที่ 1 ณ ร้านเหล้า
โจรสลัดเเปลกหน้า 12 คนเเละบาร์เทนเดอร์ 1 คนมารวมตัวกันที่ร้านเหล้าเมื่อเรื่องราวของคนที่ 2 จบลง เทียนไขเล่มที่2ก็ได้ดับลง หากแต่ไม่มีใครสังเกตเห็นรวมไปถึงโอไรออนก็เช่นกัน ชายหนุ่มสนุกสนานเพลิดเพลินและตื่นเต้นไปกับเรื่องเล่าของชาวเรือคนอื่น จนเมื่อถึงตาคนที่ 3 หรือก็คือคิวของเขา โอไรออนก็ได้ลุกขึ้นโค้งตัวให้คนอื่นราวกับนักแสดงมายากลผู้กำลังได้รับเกียรติขึ้นเวที ก่อนที่สุ้มเสียงทุ้มนุ่มของเขาจะเริ่มพูดขึ้น “เรื่องราวของข้าเริ่มจาก…”
ฉากที่ 2 ย้อนอดีต
เจอราร์ดและเกรซเน่ บราวน์ทั้งสองคนแต่งงานกันด้วยผลประโยชน์เพื่อความรํ่ารวย ชื่อเสียงและความมั่งคั่งของตระกูล พวกเขาไม่ได้ผูกมัดกันด้วยความรักแม้จะผ่านไปกี่ปีความสัมพันธ์เช่นนี้ก็ไม่แปรเปลี่ยน จนกระทั่งเกรซเน่ตั้งครรภ์บุตรชายคนแรก เจอราร์ดก็วาดหวังไว้ว่าบุตรชายคนนี้ของตนจะเปี่ยมล้นด้วยพรสวรรค์เฉกเช่นตนกับภรรยาเพราะทุกสิ่งทุกอย่างของตระกูลเขาจะมอบมันให้กับบุตร หากแต่ความหวังนั้นก็ต้องพังทลายเมื่อพบว่าบุตรชายของตนเกิดมามีดวงตาสีออดอาย (Odd eye) ซึ่งสำหรับเมืองคอร์ซอนมีความเชื่อว่าดวงตาออดอายจะนำมาซึ่งโชคร้ายและหายนะแก่คนรอบข้าง สองสามีภรรยาบราวน์เชื่อในเรื่องนี้ของเมืองทำให้พวกเขาทั้งคู่ห่างเหินและไม่เคยเข้าใกล้บุตรชายของตนอีกเลย ถึงอย่างนั้นการนำเด็กไปทิ้งนั้นถือเป็นโทษร้ายแรงทำให้พวกเขาทั้งคู่จำต้องเก็บรักษาบุตรชายคนนี้ไว้ และได้จ้างพี่เลี้ยงมาเลี้ยงดูแทนและได้ตั้งชื่อบุตรชายว่า ดีวิล บราวน์
พี่เลี้ยงของดีวิลไม่เคยดูแลเด็กชายได้เกิน 1 ปี หากไม่ประสบอุบัติเหตุก็ล้มป่วยเป็นโรคร้ายแรง เพราะเหตุนี้ยิ่งทำให้สองสามีภรรยาบราวน์ไม่มาใกล้บุตรชายของตนมากกว่าเดิม พวกเขาไม่เคยมอบความรักอะไรให้ ทั้งยังมีแต่ท่าทางห่างเหินเย็นชาและยิ่งหนักขึ้นเมื่อดีวิลอายุได้ 6 ขวบเขาได้มีน้องชายคนหนึ่งชื่อ นีซาท บราวน์ พ่อและแม่ของเขามอบความรักให้นีซาทอย่างเต็มเปี่ยมเพราะคาดหวังให้เป็นผู้นำตระกูลแทนที่พี่ชายซึ่งกลายเป็นตัวซวยของบ้านแทน นีซาทไม่เคยรู้ว่าตัวเองมีพี่ชาย ดีวิลเองก็ไม่เคยไปหาน้องเพราะรู้สึกอับอายและเกรงกลัวว่าจะนำความโชคร้ายไปให้น้องชาย ดีวิลจึงกลายเป็นเด็กเก็บตัวแทบจะไม่พูดคุยกับใครเลยและชอบนั่งพูดคุยคนเดียวอยู่เสมอ ทำให้พี่เลี้ยงหลายคนลือกันว่าเขากำลังพูดคุยกับปีศาจอยู่
จนกระทั่งวันหนึ่งดีวิลสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะเสียงกุกกักในห้อง เขาได้พบกับชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังจะปีนหน้าต่างออกไป แสงจันทร์ทำให้เด็กชายเห็นว่าคนตรงหน้าโพกหน้าด้วยผ้าสีดำหลงเหลือเพียงดวงตาสีชาคู่เดียวพร้อมกับแบกถุงอยู่ด้านหลัง ซึ่งไม่ว่าจะมองอย่างไรก็รู้แน่ว่านี่คือโจร หากแต่ดีวิลไม่ได้ร้องตะโกนและทำเพียงมองอย่างเงียบงัน จนโจรคนนัันหันมามองและแปลกใจไปกับปฎิกิริยาเช่นนี้ของเด็กชาย เขาหัวเราะราวกับถูกใจก่อนจะพูดกับเขาว่า “ข้าไม่ใช่โจรชั่วหรอกนะ เจ้าคงไม่เชื่อล่ะสิ เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับของในถุงและซื้อใจเจ้า ข้าให้ของพวกนี้กับเจ้าแล้วกัน” และนั่นจึงเป็นครั้งแรกที่เขาได้รับของเล่นเป็นเรือไม้และกล้องส่องทางไกล ซึ่งทั้งสองได้กลายมาเป็นสิ่งที่ทำให้เขาหลงใหลและรู้สึกสนใจทะเล
หลายปีผ่านไปเมื่อดีวิลอายุได้ 10 ขวบ เขาได้ยินคนรับใช้พูดคุยถึงเรือโจรสลัดชาเมลที่มาจอดเทียบท่าและด้วยความหลงใหลในทะเลและการเดินเรือ เขาจึงได้หลบหนีออกจากคฤหาสน์ของตัวเอง แน่นอนว่าคนรับใช้บางส่วนเห็นแต่พวกเขาเลือกที่จะปล่อยผ่านไป จนสุดท้ายเด็กชายก็ไปถึงท่าเรือ เขาได้พบกับเรือโจรสลัดขนาดใหญ่ยักษ์ บรรดาคนบนเรือกำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนานและบางส่วนก็ช่วยกันขนเสบียงขึ้นไปบนเรือ ตั้งแต่เกิดมานี้เป็นครั้งแรกที่เด็กชายได้เห็นเรือของจริงแต่เรื่องวีรกรรมของโจรสลัดเขาเคยได้ยินมาบ้างจึงระวังตัวและลอบขึ้นเรือไปได้สำเร็จ แต่ว่าแผนการซ่อนตัวบนเรือของเขาก็อยู่ได้ไม่นานเพราะเพียงแค่ขึ้นเรือมาได้ไม่กี่ชั่วโมงก็โดนจับได้ และด้วยความเรือออกมาจากท่าไกลมากแล้วเสียเวลาที่จะวนกลับไป ดังนั้นรองกัปตันเรือโจรสลัดชาเมลจึงได้รับเขามาเป็นลูกเรือด้วยพร้อมกับตั้งชื่อให้เขาใหม่ว่า โอไรออน
ฉากที่ 3 เรือชาเมล
ระยะเวลาหลายปีได้ผ่านพ้นไปจากเด็กชายก็ได้เติบใหญ่เป็นชายหนุ่ม เขาได้รับการฝึกฝนและสั่งสมประสบการณ์ของตัวเองตั้งแต่ตำแหน่งลูกเรือธรรมดา คนล้างจาน ผู้ช่วยในครัว จนได้กลายมาเป็นต้นหนเรือฝึกหัดเพราะเขาค้นพบพรสวรรค์ในการคาดเดาทิศทางลมของตัวเอง ซึ่งพอได้เป็นต้นหนเรือฝึกหัดเขาก็ได้รุ่นพี่หรือก็คืออาจารย์ชื่อพิซิสมาคอยช่วยฝึกสอน แต่เขาเป็นรุ่นพี่ที่ขี้เกียจและเอื่อยเฉื่อยมาก ดังนั้นช่วงแรกเขาจึงไม่ค่อยถูกกับอีกคนเท่าไรนักแต่จากความไม่ชอบก็ค่อยๆกลายเป็นสนิทสนมกันในที่สุดเพราะพวกเขาทั้งคู่ต่างชอบที่จะได้เฝ้ามองวิวทิวทัศน์ของมหาสมุทรด้านบนและชอบฟังเสียงของลมเหมือนๆกัน ลูกเรือบนเรือชาเมลนั้นเป็นมิตรและใจดีกับโอไรออนอย่างมาก ไม่มีใครรู้สึกแปลกใจหรือตกใจไปกับสีตาของเขา อีกทั้งเรือชาเมลไม่ใช่เรือโจรสลัดที่ร้ายไปเสียหมดส่วนใหญ่พวกเขาจะเลือกปล้นเรือของชนชั้นสูง ขุนนางหรือตระกูลพ่อค้ามั่งคั่งซะส่วนใหญ่ หากเป็นเรือเล็กหรือขนาดกลางพวกเขาจะไม่ค่อยสนใจ ซึ่งคนออกคำสั่งทั้งหมดของเรือชาเมลก็คือรองกัปตันหนุ่มนามว่า
แคพริคอร์น ทุกคนบนเรือชาเมลล้วนได้รับชื่อใหม่เมื่อขึ้นเรือเพื่อเป็นการเริ่นต้นใหม่และหลงลืมอดีต ทุกคนบนเรือต่างอยู่ด้วยกันเหมือนครอบครัวแม้ว่าจะมีสมาชิกจำนวนมากกว่า 50 คนก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร แต่แน่นอนว่าบางครั้งก็มีความขัดแย้งระหว่างลูกเรือด้วยกัน หากเรื่องราวบานปลายถึงขัั้นต่อสู้กัน รองกัปตันก็จะเป็นกรรมการและผู้ตัดสินจัดการประลองให้โดยมีเงื่อนไขว่าหากผลการต่อสู้ออกมาแล้วก็ให้ถือว่าทุกอย่างจบ นอกจากนี้คนบนเรือนอกจากรองกัปตันก็ไม่เคยมีใครเคยเห็นกัปตันเรือของพวกเราเลย เรื่องของกัปตันเรือจึงกลายเป็นเหมือนเรื่องเล่าบนเรือด้วยว่าบางทีรองกัปตันนี่แหละคือกัปตันแต่เจ้าตัวไม่ยอมเลื่อนขั้นตัวเอง หรือเรื่องเล่าที่ว่ากัปตันเรือของพวกเขาอาจจะเป็นผีหรือปีศาจก็เป็นได้
และด้วยความพยายามอย่างไม่ย่อท้อของโอไรออน เขาในวัย 25 ปีจึงได้รับการแต่งตั้งเป็นต้นหนเรือในที่สุด แม้จะเพิ่งได้รับตำแหน่งแต่การทำงานของเขากับพิซิสก็ได้ร่วมมือกันมานานมากแล้วทำให้พวกเขาไม่ค่อยต่างไปจากเมื่อก่อนเท่าไรนัก ยกเว้นแต่การตัดสินใจในการเดินเรือโอไรออนได้เป็นคนนำในการตัดสินใจมากขึ้น ส่วนพิซิสนั้นจะเป็นผู้ให้คำแนะนำมากกว่า โอไรออนทำหน้าที่ต้นหนเรือได้เป็นอย่างดี เขาสามารถคาดการณ์พายุและทิศทางลมได้อย่างถูกต้องอยู่บ่อยครั้ง แต่ว่าความผิดพลาดครั้งแรกของเขาในฐานะต้นหนกลับนำความโชคร้ายมาสู่เรือชาเมล
ฉากที่ 4 เกาะลับแล
วันหนึ่งขณะที่โอไรออนกำลังมองหาจุดหมายต่อไปของเรือเหมือนทุกที เขาก็ได้ยินเสียงสายลมกระซิบบอกถึงสถานที่ที่หนึ่งและเห็นว่ามันน่าสนใจดีจึงนำเรื่องนี้ไปบอกกับพิซิสและรองกัปตัน พิซิสได้ลองคาดเดาและประเมินดูเมื่อเห็นว่าน่าจะไม่มีปัญหาก็ตกลง ส่วนรองกัปตันชายหนุ่มนิ่งเงียบไปนานก่อนจะตกลง ไม่นานหลังจากนั้นพวกเขาก็เข้าสู่น่านนํ้าแห่งหนึ่ง ตอนแรกน่านนํ้าแห่งนี้ก็ปกติดีจนคนบนเรือเริ่มผิดสังเกตว่าเหตุใดจึงไม่มีเสียงคลื่นและเสียงลมเลย อีกทั้งผิวนํ้าก็นิ่งสงบอย่างที่ไม่ควรเป็น และทันทีที่คนบนเรือตระหนักถึงความผิดปกติรอบข้างก็เริ่มมีม่านหมอกเข้ามาปกคลุมจนไม่อาจมองเห็นรอบข้างได้ และเมื่อหมอกได้จางลงก็เผยให้เห็นรอบข้างที่เต็มไปด้วยซากเรืออัปปาง เรือแต่ละลำมีทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็กทั้งยังผุพังเสียจนบางลำเหลือเพียงแค่โครงเรือ ซึ่งแค่ซากเรือพวกนี้ก็ทำให้ทุกคนรู้แล้วว่าสถานที่แห่งนี้คือ ‘น่านนํ้ามรณะ’
โอไรออนได้แต่ยืนนิ่งงันเขาไม่คาดคิดว่าการตัดสินใจของตัวเองจะนำพาทุกคนมายังสถานที่ที่ขึ้นชื่อเรื่องความตายเช่นนี้ และในชั่วขณะที่เขากำลังตกตะลึงไปพิซิสก็ได้เป็นคนเรียกสติชายหนุ่ม ก่อนที่รองกัปตันจะสั่งให้ทุกคนหยิบอาวุธออกมาเพื่อเตรียมรับมือกับสิ่งที่ไม่คาดฝัน ทุกคนบนเรือต่างอยู่ในความเครียด สายตาคอยสอดส่องมองรอบข้าง ระแวดระวังถึงสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้น ไม่มีใครกล้าส่งเสียงออกมา พวกเขาต้องทนเงียบและตึงเครียดเช่นนี้เป็นเวลาเกือบ 30 นาทีจนเบื้องหน้าเรือได้ปรากฎเกาะแห่งหนึ่ง
ไม่นานเรือโจรสลัดชาเมลก็ได้ไปจอดเทียบชายหาดสีดำของเกาะ ลักษณะของเกาะเป็นเกาะขนาดกลางที่ตรงกลางนั้นเป็นภูเขารูปทรงคล้ายกระโหลกมนุษย์ขนาดใหญ่รายล้อมไปด้วยป่าไม้เขียวชอุ่ม ม่านหมอกรอบข้างยังคงอยู่ทำให้เกาะนี้เป็นเหมือนเกาะแห่งความตายมากยิ่งขึ้น และหากเป็นปกติพวกเขาคงไม่มีทางสำรวจเกาะเช่นนี้แน่นอนเพราะถึงจะชื่นชอบสมบัติหากแต่ความกลัวตายนั้นมีมากกว่า แต่เพราะตอนนี้ไม่มีทางเลือกพวกเขาจึงต้องให้คนจำนวนยี่สิบคนลงไปสำรวจ โอไรออนก็ได้อาสาตัวเองลงไปสำรวจเช่นกันเพื่อรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ส่วนพิซิสเมื่อเห็นโอไรออนอาสาตัวเองเขาก็ขอตามไปด้วยเช่นกันเนื่องจากการตัดสินใจในครั้งนี้เขาเองก็มีส่วนร่วมเช่นกัน
และแล้วทีมสำรวจจำนวนยี่สิบคนก็ได้ขึ้นไปสำรวจบนเกาะโดยมีคนนำทีมก็คือรองกัปตัน พวกเขาตอนแรกวางแผนว่าจะแย่งกันทีมละ 5 คน แต่เมื่อได้เข้าใกล้ป่าของเกาะพวกเขาก็ไม่อาจแยกย้ายกันเลย เนื่องจากสภาพของป่าปกคลุมไปด้วยหมอกหนาจึงไม่อาจแยกทางกันได้ไม่งั้นอาจจะหลงทางและไม่ได้กลับออกมาอีก ทำให้พวกเขาไม่มีทางเลือกจึงเดินไปทางตรงกลางที่ป่าแหวกทางให้ราวกับมีคนทำเอาไว้ และทางเดินนี้ก็นำไปสู่ภูเขาหัวกระโหลกใจกลางเกาะ
เมื่อพวกเขามาถึงภูเขาก็พบว่าภูเขานี้มีถํ้าขนาดใหญ่ มันมืดมิดเสียจนพวกเขาไม่อาจมองเห็นทางข้างในจึงต้องทำคบเพลิงเพื่อเดินเข้าไป รองกัปตันแคพริคอร์นเป็นผู้นำขบวนและตามด้วยลูกเรือคนที่เหลือ ภายในถํ้าเป็นเหมือนห้องโถงขนาดใหญ่และมีหินงอกหินย้อยเต็มไปหมดทว่าแม้แต่ในถํ้าก็ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอยู่เลย ตลอดทางพวกเขาพากันนิ่งเงียบไม่กล้าส่งเสียงเพราะเกรงว่าจะนำพาบางสิ่งที่อันตรายมา และจู่ ๆ หนึ่งในลูกเรือคนหนึ่งก็กระแอมไอออกมา ผิวกายของเขาเริ่มกลายเป็นสีม่วงคลํ้าแต่ไม่มีใครสังเกตเห็น จนชายคนนั้นไอหนักขึ้นเพื่อนด้านหลังจึงได้พูดถามออกมาอย่างเป็นห่วง และสิ้นคำกล่าวของเพื่อนร่วมเรือ ชายคนนั้นก็หักคอตัวเองหันมามองด้วยดวงตาเบิกโพลง สองปากอ้ากว้างก่อนจะมีแมงมุมสีดำมากมายล้นทะลักออกมา พวกมันพากันกรูออกมาจากร่างชายคนนั้นอย่างบ้าคลั่งทั้งจากปาก หู ตาและจมูก ลูกเรือรอบข้างพากันร้องลั่นและถอยหนีกันทันที แมงมุมพวกนั้นเริ่มกัดกินกันเองตัวใดที่ได้กินขนาดตัวมันก็ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จนสุดท้ายรอบข้างก็ล้อมรอบไปด้วยแมงมุมขนาดใหญ่เท่าหมาป่าและไม่นานร่างกายของพวกมันก็เริ่มเปลี่ยนไปกลับกลายเป็นหัวมนุษย์และมีขาทั้งแปดเป็นเหมือนแขนของมนุษย์เช่นกัน ใบหน้ามนุษย์เหล่านั้นแสยะยิ้มกว้างก่อนที่พวกมันจะพุ่งโจมตีใส่บรรดาลูกเรือโจรสลัดชาเมลอย่างบ้าคลั่ง
โอไรออนและพรรคพวกของตนต่างต่อสู้และฟาดฟันกับแมงมุมพวกนี้อย่างเอาเป็นเอาตายเพราะหากเผลอโดนมันกัดร่างกายจะลงไปชักกระตุกอย่างรุนแรงจากนั้นก็จะมีเขี้ยวงองุ้มออกมาราวกับแมงมุมและทำการพุ่งไล่กัดคนอื่น ๆ ทันที โอไรออนกำคบเพลิงในมือแน่นและสะบัดไล่พวกมันส่วนอีกมือก็ถือปืนยิงใส่พวกมันแต่เพราะเขาไม่ได้เก่งกาจทางด้านการต่อสู้และพวกมันก็มีเยอะมากเสียจนไม่อาจต้านไหว สุดท้ายเขาก็โดนกัดและก่อนที่ตัวเองจะกลายพันธุ์เขาก็ได้ตะโกนบอกให้พิซิสปลิดชีวิตของตนซะ หากแต่พิซิสไม่อาจทำเช่นนั้นได้ สติของโอไรออนได้ดับวูบลงและเมื่อเขารู้สึกตัวอีกครั้งก็พบว่าตนกำลังนั่งกัดกินลำไส้ของพิซิสอย่างเอร็ดอร่อย เขารับรู้ทุกอย่างทั้งกลิ่นคาวรอบข้างและรสชาติคาวในปากแต่ไม่อาจคุมร่างกายของตัวเองได้ เขาพยายามกรีดร้องให้ตัวเองหยุด ความเศร้าโศกถาโถมอยู่เต็มอกและอยากจะตายไปเสียเดี๋ยวนี้ แต่แล้วเขาก็ได้มองเห็นรองกัปตันของตัวเองวิ่งตรงไปยังแสงบางอย่างที่ส่องลงมาจากด้านบน ตามร่างกายของแคพริคอร์นเต็มไปด้วยบาดแผลเขายกดาบขึ้นมาจากนั้นก็ปาดคอตัวเอง
โอไรออนสะดุ้งเฮือกตื่นขึ้นมาบนเตียง ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงแค่ความฝันร้ายตื่นหนึ่ง เขารู้สึกโล่งใจและยินดีที่สิ่งนี้ไม่ใช่ความจริง แต่แล้วเขาก็ต้องคิดใหม่เมื่อได้ไปบอกเรื่องนี้กับพิซิสอีกคนก็บอกว่าตนฝันแบบนั้นเช่นกัน รวมถึงทุกคนบนเรือเองก็ด้วย พวกเขาไม่อาจเข้าใจได้เลยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคืออะไรกันแน่ มันคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงหรือเป็นเพียงภาพหลอน และเพราะอะไรพวกเขาถึงรอดชีวิตกันมาได้ คนที่น่าจะรู้ความจริงมีเพียงรองกัปตันเรือแคพพิคอร์นที่มีรอยแผลเป็นรอยกรีดทางยาวกึ่งกลางลำคอ
ฉากที่ 5 ณ ร้านเหล้าเมืองท่าแห่งหนึ่ง
เรื่องเล่าของโอไรออนก็ได้จบลง ชายหนุ่มยกมือขึ้นตบแมงมุมตัวจิ๋วบนโต๊ะ จากนั้นก็ระบายยิ้มกว้างออกมาหน้าตาถูกอกถูกใจไปกับปฎิกิริยาของแต่ละคน ก่อนที่เขาจะเอ่ย “เรื่องที่ข้าเล่าพวกเจ้าอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องหลอกและบางทีก็อาจจะเป็นเรื่องจริง ขึ้นอยู่กับว่าพวกเจ้าจะเชื่อแบบไหนกันแน่ เรื่องเล่าของข้าก็จบลงเพียงเท่านี้ ขอเชิญคนต่อไปมาเล่าต่อได้เลย” ว่าแล้วเขาก็ปรบมือเสียงดังโดยไม่ได้สังเกตเลยว่าเทียมเล่มที่ 3 ได้ดับลง
------------------------------------------------------------------------------------------------
Mood&Tone
บรรยากาศของตอนที่ 3 มีความมืดครึม ลึกลับและชวนสยองขวัญเพราะไม่อาจรู้ได้เลยว่ามีสิ่งใดอยู่บนเกาะและสิ่งที่เรือชาเมลพบคืออะไรกันแน่ จะเป็นผีหรือว่าคำสาปจนถึงทุกวันนี้ต่างก็ไม่มีใครรู้ หรือบางทีคนที่รู้ก็อาจจะไม่มีชีวิตอยู่แล้วก็เป็นได้
-------------------------------------------------------------------------------------------------
The Climax
โอไรออนและพรรคพวกได้พบเจอเกาะลับแลที่อยู่ในเขตน่านนํ้ามรณะ
-------------------------------------------------------------------------------------------------
สถานที่
1. ร้านเหล้าบนเกาะเมืองท่า
สถานที่เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวต่าง ๆ แหล่งรวมตัวของ 12 โจรสลัดผู้มาจากคนละสถานที่กัน พวกเขามารวมตัวกันแลกเปลี่ยนและเล่าเรื่องเล่าของตัวเอง โดยมี 1 บาร์เทนเดอร์เจ้าของร้านคอยฟังเรื่องราว และทุกครั้งที่เรื่องราวจบลงเทียนไขในร้านจะดับลง 1 เรื่องต่อ 1 เทียน จนสุดท้ายบาร์เทนเดอร์จะเป็นผู้เล่าเรื่องคนสุดท้ายและเมื่อเรื่องราวจบลงรอบข้างจะกลับกลายเป็นเมืองร้าง
2. เมืองคอร์ซอน
เป็นเมืองขนาดกลางศูนย์รวมของธุรกิจการค้าขาย มักเป็นที่แลกเปลี่ยนสินค้าและมีการรักษาความปลอดภัยที่เคร่งครัด ทำให้ไม่ค่อยมีโจรสลัดมาปล้นเท่าไรนัก ผู้คนในเมืองส่วนใหญ่ประกอบอาชีพค้าขาย และมีความเชื่อว่าผู้ที่มีดวงตาสีออดอายจะนำมาความโชคร้ายมาให้คนรอบตัว
3. เรือโจรสลัดชาเมล
เรือโจรสลัดขนาดใหญ่ ทุกคนบนเรือล้วนตั้งชื่อตามกลุ่มดาว พวกเขาอยู่กันแบบครอบครัว นิยมปล้นเรือของพวกชนชั้นสูง ขุนนางและพ่อค้าผู้มั่งคั่ง ไม่เคยฆ่าใครก่อนยกเว้นว่าอีกฝ่ายจะเป็นฆ่าพรรคพวกของตน ถือคติตาต่อตา ฟันต่อฟัน
4. น่านนํ้ามรณะ
น่านนํ้าที่เต็มไปด้วยเรืออัปปางมากมาย มีคำเล่าลือว่าเป็นพื้นที่อาถรรพ์และเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดมากมายขณะเดียวกันก็ลือกันว่ามีสมบัติลํ้าค่าอยู่ ทำให้มีเหล่าโจรสลัดเข้ามาท้าทายยังพื้นที่นี้เสมอ ทว่าการตามหาน่านนํ้าแห่งนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะมันนั่นสามารถเลือนหายไปกับม่านหมอกและก็สามารถปรากฎขึ้นมาในสถานที่อื่นได้เช่นกัน
5. เกาะลับแล
เกาะปริศนาที่เรือชาเมลไปพบ ไม่มีใครรู้ได้เลยว่าเกาะแห่งนี้มีที่มาอย่างไรและเหตุใดจึงได้เกิดเหตุการณ์น่าสยดสยองเช่นนั้น
Comments