รุ่งเช้าของฤดูใบไม้ร่วง เดือนพฤศจิกายน ได้มีการรายงานว่า พบศพผู้เสียชีวิตจำนวน 7 ราย และผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจำนวน 1 ราย รวมทั้งสิ้น 8 ราย ณ บ้านพักตากอากาศกลางหุบเขา คดีดังกล่าวกลายเป็นคดีสะเทือนขวัญ เนื่องจากพยานแวดล้อมระบุว่าผู้เสียชีวิตทั้งหมดเสียชีวิตในเวลาไล่เลี่ยกันและไม่มีใครเข้าหรือออกบ้านหลังนั้นเลยนอกจากกลุ่มคนทั้ง 8 เป็นคดีบ้านปิดตาย ทำให้เบื้องต้นทางตำรวจได้สันนิฐานว่าทั้ง 8 คนอาจจะทำการสังหารหมู่กันเอง ทว่ายังไม่ได้ข้อสรุปแน่นอนจึงต้องสืบสวนกันต่อไป...
ศพที่ 2 : เรอิกิ โฮชิ
“ชื่อของลูกแปลว่าดวงดาว เพราะลูกเป็นเหมือนดวงดาวส่องสว่างเข้ามาในชีวิตของแม่”
เรอิกิ โฮชิ ยังจำคำพูดของแม่เขาได้ แม่เคยพูดนี้กับเขาตอนอายุ 6 ขวบและกอดเขาเอาไว้ พวกเขาสองแม่ลูกไม่ได้มีฐานะดีอะไรที่พักอาศัยจึงเป็นแค่ห้องพักขนาดเล็กเก่าๆและราคาถูก ทำให้ไม่ว่าห้องด้านข้างจะทำอะไรล้วนได้ยินทั้งเสียงหัวเราะสังสรรค์เฮฮา เสียงทะเลาะวิวาทและเสียงทุบตีอยู่ทุกวัน
แม่เป็นคนขยันและรับงานทำดอกไม้ประดิษฐ์มาทำที่ห้องอยู่เสมอ แม้จะทำจนนิ้วมีแผลเต็มไปหมดก็ยังไม่หยุดเพื่อส่งเขาเรียน บางทีต่อให้ร่างของแม่ต้องแหลกสลายก็คงทำทุกอย่างเพื่อให้เขารอดชีวิต
“แม่อย่าหักโหมเหมือนรอบก่อนอีกนะครับ ไม่งั้นผมจะงอนแม่จริงๆด้วย” โฮชิในวัย6ขวบพูดกับแม่ของตนด้วยนํ้าเสียงสดใสอยู่ตรงหน้าประตู เด็กน้อยสะพายกระเป๋าสีดำเก่าๆและเงยหน้าขึ้น นัยน์ตาสีนํ้าตาลอัลมอนด์สะท้อนภาพของหญิงสาววัยกลางคนหรือก็คือแม่ของเขาที่กำลังส่งรอยยิ้มมาแล้วย่อตัวมาลูบหัวของเขา
“จ้าๆ รอบนี้แม่จะไม่ฝืนตัวเองแล้ว สัญญาเลย” หญิงสาวพูดพร้อมกับยื่นนิ้วก้อยไปเกี่ยวกับลูกของตน ใบหน้าของเธอยังคงประดับด้วยรอยยิ้มสดใสปิดซ่อนความเหน็ดเหนื่อยไว้ข้างใน
“งั้นผมไปก่อนนะครับ”
“ระวังด้วยล่ะ คอยมองทางด้วยนะลูก”
“คร้าบ”
เพียงแค่ออกจากห้องและเดินไปสักพักก็พบชายหญิงคู่หนึ่งกำลังทะเลาะเบาะแว้งกันอยู่ตรงทางลงบันได ผู้หญิงคนนั้นผมเผ้ารกรุงรังใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบนํ้าตา กับผู้ชายที่ทั้งตัวเหม็นกลิ่นเหล้าและหน้าแดงจัดด้วยความโมโห เขาตะคอกเธอและทุบตีหญิงสาวจนมีรอยชํ้าเต็มไปหมด เด็กน้อยยืนมองเหตุการณ์ตรงหน้าจนชายวัยกลางคนหันมามองตาขวาง
“มองทำไม! ไสหัวไป!” เสียงแหบตะคอกใส่ เด็กน้อยก้มหน้าลงสองขาเล็กรีบเดินผ่านไป
“ช่วย...ด้วย” หญิงสาวใบหน้าสะบัดสะบอมพูดด้วยเสียงอ่อนแรง เขายิ่งก้มหน้าลงตํ่ากว่าเดิม มือจับสายสะพานกระเป๋าแน่น
“ขอโทษครับ” โฮชิพูดแล้วเดินลงบันไดไป
มันไม่ใช่เรื่องที่เขาจะยุ่งได้
อีกทั้งไม่ใช่เรื่องของเขา และช่วยไปก็จะซวยเองเปล่าๆ
แม่เคยบอกว่าอย่าหาเรื่องใส่ตัว อยู่ที่นี่เราไม่อาจสู้ได้
...
คํ่าวันนั้นระหว่างที่โฮชิกำลังนั่งทำการบ้านและแม่ของเขากำลังรีดเสื้ออยู่นั่น จู่ๆประตูห้องก็ถูกทุบอย่างรุนแรงจนเสียงดังปังตึงไม่หยุด เด็กน้อยสะดุ้งให้กับเสียงนั้นและหญิงสาวผู้เป็นแม่เองก็ตกใจเช่นกัน
“เฮ้ย! เมื่อเช้าลูกของแกมามองหน้าฉัน มันมาฟ้องใช่ไหม! หรือแกสั่งให้มันทำเพื่อมาเยาะเย้ยฉันหา!?” เสียงของชายคนเมื่อเช้าตะโกนเข้ามา แค่ฟังจากนํ้าเสียงก็รู้แล้วว่าคนคนนี้กำลังเมามายและเต็มไปด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว “จะมาเยาะเย้ยที่ฉันตกงานใช่ไหม! ใช่สิ! ฉันมันไม่มีอะไรดี เป็นผู้ชายเฮงซวย เกาะผู้หญิงกิน”
ชายวัยกลางคนเริ่มบ่นกับตัวเองสลับกับตะโกนด่าออกมาและยังคงไม่หยุดทุบประตูซึ่งหากชายคนนี้เข้ามาได้จะต้องไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน
แม่ของโฮชิเข้าไปกอดลูกชายของตนเอาไว้และช่วยปิดหูของเขาเพื่อไม่ให้ได้ยินถ้อยคำด่าทอหยาบคายเหล่านั้น แม้ว่าเธอจะสั่นกลัวทว่าก็ต้องปกป้องลูกชายของตัวเองก่อนและภาวนาให้ชายคนนั้นไปเสียที โฮชิกอดตอบแม่ฝังถึงหูจะโดนปิดแต่เสียงดังนั่นก็ได้ยินอยู่ดี ดวงตาสีนํ้าตาลเข้มจ้องไปที่ประตูเพราะอะไรพวกเขาสองคนต้องมาเจอแบบนี้ ผิดที่เขาไปมองใช่หรือไม่ หรือเพราะโชคชะตาของเขากันแน่
ถ้าพวกเขามีเงินก็ไม่ต้องมาอยู่ที่แบบนี้
ถ้าเขาหาเงินให้แม่ได้ แม่ก็ไม่ต้องมาฝืนทำงานทุกวัน
อยากมีเงิน อยากไปจากที่นี่
...
ทุกๆวันห้องของโฮชิจะต้องมีคนมาทุบประตูราวกับเป็นที่ระบายอารมณ์ของพวกคนเมาในหอพัก คนพวกนั้นมักจะพูดอย่างหยาบคาย เกรี้ยวกราดและดูถูกดูหมิ่นพวกเขาสองแม่ลูกด้วยคำพูดอันน่าขยะแขยงและน่ารังเกียจ โดยที่พวกเขาไม่อาจต่อต้านอะไรได้นอกจากกอดกันและกันตัวสั่นอยู่แบบนั้น ส่วนสังคมที่โรงเรียนก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน แม้โฮชิจะไม่ได้โดยเพื่อนในห้องรุมกลั่นแกล้งอะไรแต่เขานั่นมีแต่ของเก่า ทำให้มีกลิ่นตัวเพื่อนจึงไม่อยากเข้าใกล้และพากันออกห่างพร้อมกับพูดนินทากันเองว่าตนนั่นเหม็นไม่ต่างจากขยะ เขาอดทนปล่อยผ่านสิ่งเหล่านี้มาตลอด วันเวลาผ่านไปจากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี
เด็กน้อยเติบโตขึ้นและยังคงอยู่กับแม่ของเขาในห้องพักเก่าๆเช่นเดิม ชีวิตช่วงม.ต้นของเขานั้นนอกจากเรียนก็ช่วยแม่ทำงานเพื่อลดภาระ โฮชิพยายามอย่างยิ่งที่จะเป็นเด็กดีและตั้งใจเรียนไม่ให้แม่ของเขาต้องมาลำบากใจหรือทุกข์ใจ ชีวิตประจำวันของสองแม่ลูกหากไม่นับสภาพแวดล้อมก็เรียกได้ว่าอบอุ่นและรักใคร่กัน เด็กหนุ่มปรารถนาจะได้อยู่กับแม่เช่นนี้ตลอดไปและสักวันตนจะพาแม่ไปอยู่ด้วยกันยังที่ที่ดีกว่า
ทว่า...บางครั้งสิ่งที่คิดก็ไม่อาจเป็นตามที่หวัง
“กลับมาแล้วครับ” เรอิกิ โฮชิในวัย 16 ปีเดินกลับเข้ามาในห้อง ใบหน้าของเด็กหนุ่มระบายยิ้มแล้วชูถุงข้าวในมือ “วันนี้ผมไปแย่งชิงข้าวกล่องจากซุปเปอร์ทันด้วยล่ะ มีเต้าหู้ของโปรดแม่ด้วยนะ”
แต่จนเด็กหนุ่มเก็บรองเท้าเสร็จเขาก็ไม่ได้ยินเสียงตอบรับว่า ‘ยินดีต้อนรับกลับจ้า’ เหมือนทุกที นัยน์ตาสีนํ้าตาลมองห้องที่เหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน เห็นถึงแม่ที่นั่งฟุบหน้าอยู่กับโต๊ะ ตัวของแม่อาบไปด้วยแสงสีส้มของอาทิตย์ยามเย็นที่ส่องเข้ามาจากหน้าตา
‘บางทีแม่คงจะหลับ’ เด็กหนุ่มคิดแม้ลึก ๆ แล้วตนจะมีลางสังหรณ์บางอย่างซึ่งเป็นลางสังหรณ์ที่เขาไม่อยากให้เป็นจริงเลยสักนิด เขาเดินเข้าไปหาแม่และเพียงแค่แตะร่างของหญิงสาวความเย็นเยือกที่ส่งผ่านมา ทำให้โฮชินิ่งงันไปสมองและหัวใจราวกับโดนค้อนเหล็กทุบจนแหลกเหลว คำว่าไม่จริง ต้องไม่ใช่แบบนี้กู่ก้องดังสะท้อนอยู่ในหัวของเขานับสิบนับร้อยครั้ง
“แม่ แม่!”
“แม่ครับ...ตื่นสิ”
และหัวใจของเด็กหนุ่มก็แหลกสลายพังทลายไม่มีชิ้นดี
ดวงดาวสุกสว่างหม่นแสงมิอาจกลับไปเจิดจรัสได้ดังเดิม
...
หลังจากงานศพของแม่ผ่านพ้นไป เรอิกิ โฮชิก็ต้องย้ายไปอยู่กับญาติฝั่งแม่ที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อนเพราะตั้งแต่เกิดมาแม่ก็ไม่เคยพูดถึงญาติเหล่านี้และพ่อก็เช่นกัน แม้เขาจะเคยถามออกไปแม่ก็ทำแค่ยิ้มแล้วเปลี่ยนเรื่องคุยและบอกว่าเขายังไม่ถึงเวลาที่จะบอกได้
เด็กหนุ่มเดินถือกล้องลังใส่ข้าวของเดินตามหลังญาติฝั่งแม่ไป หูเองก็ได้ยินเสียงนินทาและหัวเราะเยาะจากคนอื่นๆในหอพักตลอดทาง
“ผู้หญิงนั่นตายแล้วว่ะ”
“เห็นว่าทำงานจนเส้นเลือดแตกตาย หึ ถ้านางนั่นยอมให้ฉันช่วยแต่แรกก็จบแล้ว”
“เฮ้ย ลูกนางนั่นมันมองมา มีไร? ไอ้หนู!”
“ฮ่าๆ ขี้ขลาดชะมัด แค่ขึ้นเสียงใส่ก็หลบหน้าแล้ว”
“หน้ามันอมทุกข์มากเลยว่ะ คงช็อคล่ะสิไอ้ลูกแหง่”
โฮชิรีบก้าวเดินตามญาติของตนไป เขาไม่อยากจะโต้ตอบกับคนพวกนี้เพราะยิ่งต่อสู้ขัดขืนพวกมันก็จะยิ่งสนุก เขาจึงได้แต่ฝืนทนปล่อยผ่านถ้อยคำเหล่านั้นและก่นด่าคนพวกนั้นอยู่ในใจ
ทำไมคนแบบนี้ไม่ตาย ๆ ไปซะ
ทำไมคนที่ตายต้องเป็นแม่ของเขาด้วย
...
5 ปีผ่านไป
ตั้งแต่แม่เสียชีวิตเรอิกิ โฮชิก็ย้ายไปอยู่บ้านญาติฝั่งแม่ซึ่งที่นั่นไม่ได้อบอุ่นเหมือนตอนเขาอยู่กับแม่ ญาติช่วยส่งเสียเลี้ยงดูเขาก็จริงแต่ขณะเดียวกันก็ชอบบ่นถึงความลำบากที่ได้รับจากการรับโฮชิมาเลี้ยงดูลับหลังอยู่ตลอด ทำให้เขารู้สึกเหมือนเป็นตัวภาระอยู่ตลอด ดังนั้นเพื่อออกมาจากที่นั่นเขาจึงมุ่งมั่นกับการสอบเข้าขณะเดียวกันก็พยายามรับงานพิเศษทำเพื่อคอยเก็บเงินสะสมของตัวเองไปด้วยเพื่อจะนำเงินตรงนี้มาใช้จ่ายยามตัวเองต้องย้ายไปอยู่หอ เขาพยายามและไม่ยอมแพ้ จนสุดท้ายเรอิกิ โฮชิในวัย21 ปี ก็สอบติดมหาลัยโตเกียว คณะบริหารธุรกิจด้วยผลคะแนนสอบเข้าที่ไม่ได้ดีเด่นแต่ก็ไม่ได้แย่อยู่ในระดับปานกลางและได้ย้ายมาอยู่หอตามที่เขาหวังเอาไว้
ชีวิตมหาลัยและการเป็นเด็กหอครั้งแรกในชีวิตของโฮชิกำลังจะเริ่มขึ้น เขาไม่ได้คาดหวังว่าตัวเองจะเจอเรื่องดีๆและขอแค่ได้มีชีวิตสงบ ๆ โดยไม่ต้องมาได้ยินคำนินทาและเย้ยหยันพวกนั้นอีกก็พอ
เมื่อโฮชิเดินทางมาถึงหอพักที่ตนจองไว้เขาก็นึกเรื่องสำคัญหนึ่งขึ้นมาได้ หอพักที่เขาอยู่นั้นหนึ่งห้องจะมีสองคน แสดงว่าตัวเขาจะมีรูมเมทซึ่งก็ไม่รู้ว่าคือใครหนึ่งคน
‘หวังว่าจะไม่ใช่พวกตัวปัญหา’ เขาคิด
เมื่อถึงห้องพักชายหนุ่มก็ยืนนิ่งอยู่สักพักจากนั้นก็เคาะประตูและเปิดเข้าไป พอเห็นว่าในห้องมีชายหนุ่มผมสีแดงหรือก็คือรูมเมทของตนนั่งอยู่หน้าโต๊ะคอม ใบหน้ากระก็ยกยิ้มอย่างเป็นมิตรและเอ่ยอย่างสุภาพ “สวัสดีครับ ผมเรอิกิ โฮชิ เป็นรูมเมทของคุณ จากนี้ไปก็ฝากตัวด้วยนะครับ”
“หา? อะไรของแก”
นั่นจึงเป็นรอยยิ้มจริงใจครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่เขาได้มอบให้กับรูมเมทหัวแดงตรงหน้า
...
โคซากะ มิคาโดะ คือชื่อของรูมเมทหัวแดงคนนั้น
เรอิกิ โฮชิอยู่กับรูมเมทคนนี้เป็นระยะเวลาสามวัน สิ่งที่เขาสรุปได้เกี่ยวกับคนคนนี้มีเพียงแค่คำว่าเกลียดและไม่ชอบขี้หน้า มิคาโดะเป็นประเภทของคนที่เขาเกลียดอย่างครบถ้วนทุกประการ ทั้งชอบเสียงดังเอะอะโวยวายตอนกลางคืน เล่นเกมไม่รู้จักเลิก พอบอกให้เบาเสียงหน่อยก็จะตะคอกใส่ ห้องก็ชอบทำรกจนของมาปะปนกับของของเขา และถึงจะบอกให้เก็บให้ตายอย่างไรหมอนั่นก็ไม่ยอมทำ ทั้งยังถลึงตาใส่เขาอย่างหงุดหงิด จนสุดท้ายเขาก็ต้องจัดการของพวกนั้นให้แทน นอกจากเรื่องพวกนี้มิคาโดะยังมีอีกสิ่งที่โฮชิเกลียดสุด ๆ ก็คือ พวกรวยนิสัยเสีย
ไม่ใช่ว่าเขาจะเกลียดคนรวยทุกคนจากปมในวัยเด็กเพราะสมัยเรียนมัธยมปลายเขาก็มีเพื่อนมีฐานะอยู่หลายคนซึ่งเพื่อนเหล่านั้นก็นิสัยดี แม้จะไม่ได้สนิทกันถึงขึ้นเป็นเพื่อนสนิทแต่คนพวกนั้นก็ไม่เคยพูดจาดูถูกหรือกีดกันเขาเฉกเช่นสิ่งที่เคยโดนในวัยเด็ก ถึงเขาจะใส่เสื้อผ้าราคาถูกและใช้ของจนเก่าแค่ไหนก็ไม่มีใครหัวเราะเยาะซึ่งต่างจากมิคาโดะ รูมเมทหัวแดงของเขาคนนี้ หมอนั่นไม่เพียงแค่หัวเราะเยาะเท่านั้นยังพ่นคำดูถูกและมองเขาด้วยสายตาเหมือนตัวเองสูงส่งกว่า ทั้งยังเรียกเขาว่า ‘ไอ้จืด’
“จน ๆ อย่างแก เรียนบริหารธุรกิจแล้วจะไปบริหารอะไรได้? ยังไงก็เป็นแค่ลูกจ้างเขานั่นแหละ”
“ถ้าแกทนไม่ไหว งานบ้านพวกนี้แกก็ทำดิ ไงก็เป็นได้แค่คนใช้อยู่แล้วนี่?”
“ใส่แต่เสื้อผ้าเชย ๆ ราคาถูก ๆ ...เหอะ ไอ้เฉิ่มเอ้ย”
ทุกๆคืนมิคาโดะจะต้องเล่นเกมส่งเสียงโวยวายรบกวนการนอนของโฮชิเป็นประจำ ชีวิตตอนอยู่หอจึงไม่ต่างไปจากชีวิตของเขาตองอยู่ในห้องเก่าๆกับแม่เลยสักนิด เขาอุดหู ใช้ผ้สปิดตาและขดตัวอยู่ในผ้าห่มของตนเพื่อหลีกหนีจากเสียงดังพวกนั้น แต่มันก็ดังเสียจนกลายเป็นเสียงอืออึงอยู่ในหุตลอดเวลา เขาปวดหัวกับมันมากแต่ไม่ว่าจะบอกกี่ทีก็ไม่ฟัง
น่ารำคาญ...ทำไมต้องมาเจอคนเฮงซวยแบบนี้ด้วย
หากไม่ติดว่าเงินของโฮชินั่นได้ลงกับการจองหอพักแห่งนี้ไปหมดและไม่มีหอพักไหนจะดีไปกว่านี้แล้วเขาก็คงย้ายออกไปตั้งแต่วันแรกที่เจอเหตุการณ์แบบนี้ ดังนั้นในเมื่อออกไม่ได้ก็ต้องอดทนกับมันและสบถด่าชายหนุ่มหัวแดงที่โตกว่าตนทว่าไม่มีความน่าเคารพใด ๆ อยู่ในใจ
‘ทำไมคนรวยอย่างหมอนั่นต้องมาอยู่หอราคาถูกแบบนี้ด้วย’ เขาคิดและรู้อยู่แก่ใจดีว่าไม่ใช่แค่ตนที่รำคาญแต่มิคาโดะก็รำคาญเขาเช่นกัน ทั้งสองทำสงครามเย็นกันอยู่เช่นนี้ที่มีฝ่ายหนึ่งเป็นคนเริ่มด่าทอดูถูกและอีกฝ่ายได้แต่อดทนไม่โต้ตอบเพราะกลัวจะทำให้ตัวเองบาดเจ็บจนกระทบต่อการเรียน
โฮชิไม่อาจนอนหลับได้อย่างเต็มอิ่มแต่ก็ต้องตื่นเช้าเพื่อไปเรียน กิจวัตรประจำวันเช่นนี้ดำเนินเรื่อยไป การพูดคุยกันของพวกเขาสองคนไม่เคยมีสักครั้งที่จะดี เขาอยากจะซัดหน้าหมอนั่นทุกครั้งที่พ่นคำเหล่านั้นออกมาแต่ก็ทำไม่ได้
อดทนอดกลั้นทำตัวเป็นปกติเหมือนเดิม พูดกล่าวกับมิคาโดะอย่างขลาดกลัวหากแต่ในใจเปี่ยมล้นไปด้วยคำสาปแช่งและก่นด่า ไม่มีเลยสักวันที่ความเกลียดชังนี่จะลดน้อยลง มันสะสมมากขึ้น มากขึ้น เสียจนชั่วขณะหนึ่งเขาอยากจะฆ่ารูมเมทของตัวเอง อยากจะเอาเชือกสักเส้นมารัดคอหมอนั่นตอนเล่นเกม อยากเอามีดมาจ้วงแทงอยากบ้าคลั่ง
‘ไม่ เราทำไม่ได้’ โฮชิเตือนสติตัวเอง เขากุมหัวทั่วทั้งร่างสั่นระริกภายในใจของสับสนและหวาดกลัวความคิดแบบนั้น ‘เราฆ่าคนไม่ได้’
การฆ่าคนเป็นสิ่งที่ชายหนุ่มไม่อยากทำมากที่สุด แม้จะเกลียดและชิงชังมากแค่ไหน เขาก็ยังไม่อยากก้าวข้ามเส้นของศีลธรรมและความถูกต้องเพื่อจัดการมิคาโดะ เพราะต่อให้จัดการไปฆ่าไปแล้วจะเป็นอะไรต่อ แน่นอนว่าอนาคตของเขาจะต้องจบลง ใช้ชีวิตอยู่อย่างหวาดระแวงไม่อาจกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีก
ถึงแบบนั้น...ชั่วขณะที่คิดว่าตัวเองจะไม่สามรถอดทนได้อีกต่อก็สั่งซื้อยาตัวนี้มา
นัยน์ตาสีนํ้าตาลมองขวดยาในมือและกำมันแน่นด้วยมือสั่นระริกก่อนจะเก็บใส่กระเป๋าไป คาดหวังว่าตนจะไม่ต้องลงมือถึงขั้นนี้จริง ๆ
จนกระทั่งวันหนึ่งขณะที่เรอิกิ โฮชิตื่นขึ้นมาในตอนเช้าเหมือนทุกวันก็เหลือบไปเห็นหน้าจอคอมพิวเตอร์ของรูมเมทที่เปิดค้างหน้าต่างสนทนากับใครบางคนไว้ หากเขาจำไม่ผิดมิคาโดะมีเพื่อนอยู่คนหนึ่ง คนนั้นมีชื่อว่า ‘ฮาตาโอกะ ยูกิ’ ปกติหากไปเห็นหน้าจอของรูมเมทเช่นนี้ตนคงจะเลิกมองทันทีเพื่อไม่ให้อีกคนมาหาเรื่องทว่ารอบนี้ต่างออกไปเขากลับมองหัวข้อพูดถึงงานเลี้ยงในแชทนั่นอย่างครุ่นคิด
โฮชิคิดเกี่ยวกับแชทนี้จนถึงช่วงเวลาเย็น งานเลี้ยงที่จะจัดขึ้นเป็นงานเลี้ยงรวมตัวของผู้ที่มีความสนใจในของเก่าแก่มีราคาเพียงแค่นี้ชายหนุ่มก็รู้ดีอยู่แล้วว่าตนจะต้องไปเจอแต่คนรวยและคนพวกนั้นอาจจะนิสัยแบบเดียวกันมิคาโดะ ถึงอย่างนั้นเขาก็อยากจะลองไปดูเพื่อไปเปิดประสบการณ์
และ…
เขาหลุบตาลงและถอดถอนหายใจแผ่วเบากับตัวเองอยู่หน้าห้องจนมั่นใจแล้วว่าตนเลือกจะไปจริง ๆ จึงเปิดประตูเข้าห้องพักของเขาไป
“ไงไอ้จืด กลับมาก็ทำหน้าตาน่ารำคาญให้ฉันเห็นเลยนะ วันนี้กลับเร็วดีนี่หรือว่าหัดโดดเรียนเป็นแล้วล่ะ?” เสียงยียวนกวนประสาทของมิคาโดะทักขึ้นมาทันที ถ้อยคำที่กล่าวทักยังคงเป็นการดูถูกและอีกฝ่ายก็ไม่คิดให้ตนโต้ตอบก็หันกลับไปเล่นเกมของตัวเองต่อ โฮชิได้แต่กรอรกตาให้กับคำพูดนั้นและลอบแขวะด่าอยู่ในใจ
‘เหอะ นายมันก็น่ารำคาญเหมือนกัน วัน ๆ คงจะเล่นเป็นแต่เกมนั่นแหละ เวลาก็ไม่รู้จักดูว่าตอนนี้มันเย็นถึงไหนแล้ว ชิ เป็นพวกที่อยู่ไปก็รกโลกชะมัด’ เขามองมิคาโดะเงียบๆและคิดสิ่งนี้อยู่ในใจก่อนจะไปนั่งกินข้าวกล่องบนโต๊ะของตัวเอง จากนั้นจึงเริ่มทำการบ้านระหว่างที่ทำก็ได้ยินเสียงพูดคุยโทรศัพท์ของมิคาโดะ แม้เขาจะไม่ได้แอบฟังแต่เสียงของรูมเมทก็ดังเสียจนตนไม่อาจทำการบ้านต่อได้ เขาวางปากกาลงลอบเบะปากกับตัวเอง ‘ขนาดแค่คุยโทรศัพท์ยังต้องเสียงดัง หูตึงรึไงหรือเกิดมาก็กินโทรโข่งเข้าไปกันแน่’
คนที่โทรมามิคาโดะก็ไม่ใช่ใครอื่นนั่นก็คือ ฮาตาโอกะ ยูกินั่นเองซึ่งประเด็นที่ทั้งคู่คุยกันก็เป็นเรื่องงานเลี้ยงของคนชื่นชอบของเก่าที่โฮชิเหลือบไปเห็นในตอนเช้า
‘บางทีนี่อาจเป็นโอกาสให้เราได้ขอว่าจะไปด้วย…แต่ถ้าหมอนั่นปฏิเสธล่ะ?’ โฮชิคิดและเริ่มคิดหาทางให้มิคาโดะพาตนไปให้ได้ เขาคิดอยู่แบบนี้จนเสียงพูดคุยก็จบลงบ่งบอกว่ารูมเมทของเขาคุยโทรศัพท์เสร็จแล้ว ใบหน้ากระเงยขึ้น ดวงตาสีนํ้าตาลมองคนตรงหน้าอย่างลำบากใจ
“มองทำไม? หรือจะบอกไม่ให้ฉันเสียงดังอีก” มิคาโดะพูดขึ้นอย่างหงุดหงิด
‘แค่นี้ก็มองไม่ได้? อย่างกับเราอยากมองนักแหละ อีกอย่างถึงบอกว่าเสียงดังก็ไม่ฟังอยู่ดีนี่’
“เอ่อ ไม่ใช่ คือว่า....” โฮชิพูดเสียงเบาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ เมื่อสายตาของรูมเมทจ้องเขม็งอย่างเอาเรื่อง ‘จะจ้องอะไรนักหนา…เหอะ เราก็ไม่ได้กลัวหมอนี่หรอกนะ’
“งานเลี้ยงที่จะไปสัปดาห์หน้า...ผมขอไปด้วยได้ไหม?”
“ไอ้เฉิ่มอย่างนายรู้รึไงว่าฉันจะไปงานอะไร” มิคาโดะพูดออกมาและวางท่าไม่ต่างจากนักเลง
โฮชิพยายามทำตัวให้เป็นปกติแต่ด้วยความกลัวหรืออาจจะตื่นเต้น เสียงที่เปล่งออกมาจึงพูดเร็ว ๆ และสั่นเล็กน้อย “ขอโทษครับ ผม...ผมบังเอิญไปเห็นเมื่อเช้า โคซากะไม่ได้ปิดคอมน่ะ เพราะงั้นผมขอไปด้วยนะครับ?” เมื่อพูดจบเขาก็หลบตาอย่างรู้สึก แม้อีกคนจะไร้มารยาทกับตนแต่เขาก็รู้ดีว่าการไปแอบมองหน้าจอคนอื่นก็เป็นสิ่งที่ไร้มารยาทเช่นกัน
“หืม? เดี๋ยวนี้หัดเป็นเด็กไม่ดีแล้วด้วย งั้นก็ไม่ควรจะสารภาพออกมาเองนะไอ้เฉิ่ม แต่ก็เอาดิ ฉันจะพาเด็กจน ๆ อย่างนายไปเปิดโลกคนรวย ๆ อย่างพวกฉันให้ดูแล้วกัน เหอะ” มิคาโดะพูดแล้วหัวเราะใส่จากนั้นก็เลิกสนใจรูมเมทที่อายุน้อยกว่าตัวเองและจดจ่อกับการเล่นเกมของตัวเองต่อ
“อ่า...ขอบใจนะ” โฮชิพูดเสียงเบาแล้วกลับไปทำการบ้านต่อ
...
1 คืนก่อนถึงวันจัดงาน
โฮชินั่งเหม่อมองกับกระเป๋าเป้ของตน เขาเก็บข้าวของจำเป็นและเสื้อผ้าต่าง ๆ เรียบร้อยแล้วซึ่งเพราะของของเขาและมิคาโดะชอบปนกันจึงใช้เวลาอยู่พักใหญ่เพื่อแยกของหมอนั่นออกมา แต่ที่เขามานั่งเหม่ออยู่แบบนี้เพราะรู้สึกลังเลขึ้นมา
‘หวังว่าจะไม่ต้องใช้มัน’ เขาคิดและนำขวดยาใส่ลงในกระเป๋าเสื้อสำหรับใส่ในวันพรุ่งนี้
...
วันจัดงาน
หลังจากนั่งแท็กซี่มายังจุดพักรถที่ตีนเขาอีกฝากของเมืองด้วยกันก็พบว่ารถรับส่งส่วนตัวของ
ฮาตาโอกะมารับไปสถานที่พักยังมาไม่ถึง ด้วยความหิวโฮชิและมิคาโดะจึงเข้าไปร้านสะดวกซื้อแถวนั้นเพื่อซื้อของกินรองท้องเสียก่อน จนซื้อเสร็จแล้วก็ออกมาเจอกับรถรับส่งส่วนตัวที่มาจอดพอดี นัยน์ตาสี
นํ้าตาลมองรถหรูตรงหน้าแม้ลึก ๆ เขาจะนึกอิจฉาแต่ก็คิดว่าถึงตนมีรถไปก็ไม่มีที่จอดอยู่ดี
โฮชิและมิคาโดะก้าวขึ้นรถรับส่งเพื่อไปยังบ้านพักต่างอากาศกลางหุบเขาของฮาตาโอกะ ปกติพวกเขาสองคนก็ไม่ได้สนิทอะไรกันความสัมพันธ์ก็ไปทางเกลียดอยู่แล้ว บรรยากาศในรถจึงไม่มีบทสนาใดเลย มิคาโดะก็ก้มหน้าเล่นโทรศัพท์ต่อไป ส่วนโฮชิก็นั่งมองวิวทิวทัศน์ป่าไม้ด้านนอกที่มีใบไม้สีนํ้าตาลและสีเหลืองโปรยปรายเต็มไปหมดบวกกับแสงอาทิตย์สีส้มยามเย็นทำให้ภาพตรงหน้าสวยงามไม่น้อยจนเขารู้สึกเพลินเพลิด พอรู้ตัวอีกทีรถรับส่งก็เข้าถึงเขตที่พักส่วนตัว ความสวยงามของสวนทางเข้าบ้านพักนั่นสวยงามและน่าดึงดูดไม่แพ้ป่าธรรมชาติ คงเพราะเขาไม่ค่อยเห็นอะไรแบบนี้ใบหน้าจึงแสดงความตื่นเต้นออกมาอย่างเห็นได้ชัด ชายหนุ่มหันซ้ายหันขวามองวิวทั้งฝั่งตัวเองและมิคาโดะโดยพยายามจะจดจ้องกับฝ่ายของตัวเองมากกว่าเพื่อไม่ให้รูมเมทนิสัยเสียจะหงุดหงิดจนมาลงกับเขาเอง
ไม่นานโฮชิและมิคาโดะก็มาถึงบ้านสไตล์ยุโรปสองชั้นขนาดใหญ่ เมื่อเข้าไปข้างในก็เห็นการตกแต่งที่เรียกได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่าหรูหรามีสไตล์ เครื่องใช้และเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ ไม่ต้องมีป้ายราคาบอกก็รับรู้ได้ว่าราคาไม่ใช่น้อย ๆ อย่างแน่นอน ดวงตาสีนํ้าตาลมองความหรูหราภายในบ้านหลังนี้จนตาพร่ามัวไปหมดราวกับของใช้พวกนั้นเปล่งแสงระยิบระยับของความหรูหราออกมา ระหว่างที่ชายหนุ่มกำลังนิ่งงันไปกับความหรูหรา คนรับใช้ก็เข้ามารับกระเป๋าของเขาไปเก็บไว้ที่ห้องและมอบกุญแจห้องไว้ให้ จากนั้นพ่อบ้านก็นำทางพวกเขาไปยังห้องอาหารที่หรูหราไม่แพ้กับส่วนอื่น ๆ ของบ้านพัก
ภายในห้องอาหารมีแขกผู้ร่วมงานมาบ้าง แขกที่มาร่วมงานแต่ละคนล้วนมีเอกลักษณ์แตกต่างกันออกไปมีทั้งผู้หญิงและผู้ชาย คนเหล่านั้นมองมายังพวกเขานิดหน่อยก่อนจะพูดคุยกันต่อ จากนั้นไม่นานแขกรับเชิญ 7 คนกับฮาตาโอกะก็มาร่วมกันในห้องอาหารจนครบ 8 คน คนรับใช้จึงทยอยนำอาหารที่จัดเป็นฟูลคอร์สมาเสิร์ฟตามลำดับ ซึ่งอาหารแต่ละอย่างนั้นแปลกใหม่สำหรับโฮชิเป็นอย่างมากเขาไม่เคยกินอาหารที่เป็นคอร์สเช่นนี้มาก่อน ถึงอย่างนั้นก็พยายามรักษากิริยามารยาทคอยสังเกตว่าแขกแต่ละคนกินอย่างไรถึงค่อยลงมือกินตาม รสชาติของอาหารต่างจากข้าวกล่องลดราคาอย่างเทียบไม่ติดจนเขาอยากจะกินให้ช้าลงและดื่มดํ่าไปกับอาหารตรงหน้ามากกว่านี้ แต่เพราะไม่มีใครมาค่อยๆกินหรือแปลกใจกับอาหารฟูลคอร์สเช่นนี้เลย ชายหนุ่มจึงต้องทำตัวเป็นปกติเหมือบกับคนอื่น ๆ เช่นกัน ตอนแรกเขาคิดว่าอาหารจานใหญ่แต่ปริมาณเล็กน้อยจะไปอิ่มอะไรแต่พอกินจนจบคอร์สก็พบว่าท้องของตนอิ่มพอดี
เมื่อจบช่วงเวลาอาหารเย็นไปแล้ว เวลาการประมูลของเก่าสั้น ๆ ก็เริ่มต้นขึ้นเพราะจำนวนคนไม่ได้มากมายอะไร บรรยากาศจึงไม่ต่างจากที่โฮชิคิด แขกในงานต่างพากันประมูลบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ เหมือนกับว่าจุดประสงค์ของแต่ละคนนั่นไม่ได้มาเพื่อประมูลของพวกนี้แต่อย่างใด ทว่าเรื่องของคนอื่นไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาเลย ชายหนุ่มจึงละความสนใจมาสนพวกของเก่าที่นำมาประมูลต่อและทำเพียงแค่มองดูจนจบเพราะอย่างไรเสียเขาก็ไม่มีเงินพอจะนำไปใช้ประมูลอะไรแบบนี้อยู่แล้ว
ไม่นานช่วงระยะเวลาประมูลก็จบลง แขกแต่ละคนเริ่มแยกย้ายกันไปเหลือเพียงโฮชิ มิคาโดะ
ฮาตาโอกะและชายหนุ่มผมสีบลอนด์ทอง พวกเขาทั้งสี่พากันไปนั่งเล่นที่ห้องรับแขก แม้ว่าโฮชิจะไม่ได้อยากมาอยู่กับคนพวกนี้แต่เขาก็ยังไม่อยากกลับไปเก็บตัวอยู่ในห้องจึงตามมาด้วยอย่างช่วยไม่ได้
เขาเดินไปนั่งยังโซฟาเดี่ยวทางด้านขวามือของโซฟาตัวยาวในห้องรับแขก ส่วนโซฟาตัวยาวก็มี
ฮาตาโอกะและมิคาโตะนั่ง และโซฟาเดี่ยวอีกตัวทางด้านซ้ายก็เป็นชายหนุ่มผมบลอนด์นั่งแทนซึ่งก็ยังคงมองมิคาโดะอย่างไม่วางตา
‘สงสัยเป็นคนรู้จักหมอนั่น…’ โฮชิคิดและมองบรั่นดีกับชีสที่พ่อบ้านนำมาวางให้บนโต๊ะตรงหน้า
ตั้งแต่อายุบรรลุนิติภาวะเขาก็ไม่เคยแตะต้องของมึนเมาพวกนี้มาก่อนเพราะไม่ว่าจะกี่ปีเสียงและกลิ่นเหม็นเหล้าของคนพวกนั้นก็ยังติดตรึงอยู่ในความทรงจำ เขาจึงไม่อยากแตะต้องของพวกนี้เลยแต่ไหน ๆ ก็ได้มาเปิดประสบการณ์ชีวิตที่ดูหรูหราเช่นนี้แล้วก็ลองดูหน่อยก็ไม่เสียหาย ดังนั้นโฮชิจึงดื่มดํ่าไปกับบรั่นดีและชีสอยู่คนเดียว ปล่อยให้มิคาโดะและฮาตาโอกะพูดคุยเล่นกันตามประสาเพื่อนจนเสียงดังก้องไปทั่วห้อง
“นายน่ะเหรอคนที่มิคาโดะพามา?....” เสียงของฮาตาโอกะเอ่ยทักและหันมามองชายหนุ่มผมสีดำใบหน้ากระที่กำลังนั่งดื่มบรั่นเงียบๆคนเดียว “เฉิ่มอย่างที่นายพูดไม่มีผิด”
“ฮ่าๆ ใช่ไหมล่ะ? ไอ้จืดมันเฉิ่มซะไม่มี ดูสิ ขนาดกินของดี ๆ ที่นายจัดให้ก็ยังกลบความจนไว้
ไม่มิด” มิคาโดะพูดจาดูถูกเหมือนอย่างเคย ทั้งสองคนพูดจาดูถูกเสร็จก็พากันหัวเราะชอบใจ
‘ไอ้พวกนี้...คนกำลังกินอยู่ดี ๆ ก็ยังจะมาพูดจาหาเรื่องอีก เป็นหมาบ้ากันรึไง?’ โฮชิคิดอยู่ในใจต่างจากใบหน้ากระตอนนี้ที่ยิ้มเจื่อนให้กับทั้งคู่ปล่อยให้ทั้งสองพ่นคำด่าดูถูกต่อไป รุมหัวเราะเยาะเย้ยเขาไม่ต่างจากตัวตลก ชายหนุ่มได้แต่อดทนอดกลั้นไม่โต้ตอบอะไรกลับไปทำเพียงแค่แสแสร้งยิ้มเจื่อนไปอย่างโง่งมและขลาดกลัว ‘จะจบได้หรือยัง…’
“ฮ่าๆ เหม็นกกลิ่นคนจนชะมัด แม่ของไอ้หมอนี่คงเก็บมันมาจากถังขยะละมั่ง ไม่สิ คงมาจากถังขยะทั้งแม่และลูกนั่นแหละ ” ฮาตาโอกะพูดเย้ยหยันแล้วทำท่าบีบจมูกตัวเอง โดยมีมิคาโดะหัวเราะชอบใจไปด้วยอยู่ด้านข้าง
สิ้นคำกล่าวนั้นของอีกคนโฮชิก็พลันนิ่งงันไป ใบหน้าของเขายิ้มค้าง คำพูดคำนี้เหมือนก้อนหินที่ตกลงไปในนํ้านิ่งก่อให้เกิดความรู้สึกเกลียดชังและโกรธอย่างรุนแรง
แกกล้าดียังไง?
แม่รักเขา รักสุดหัวใจ ถึงขั้นยอมทำงานจนตาย
แกมีสิทธิ์มาพูดแบบนี้ได้ยังไง?
พวกแก...พวกแกทั้งคู่ ควรตายไปซะ!
มือเลื่อนไปวางตรงกระเป๋าเสื้อตรงท้องรับรู้ได้ถึงขวดยาที่อยู่ภายใน เขาเสแสร้งเป็นก้มหน้าลงทำตัวสั่นกลัวให้ไม่ต่างจากลูกนก นัยน์ตาสีนํ้าตาลทอประกายแข็งกร้าว ในเวลานี้เขาได้ตัดสินใจแล้ว เว้นขีดฆ่าความถูกต้องและศีลธรรมอะไรนั่นช่างหัวมันสิ
พวกแกทั้งคู่ต้องตาย
ตาย..ตาย...ตาย!
เรอิกิ โฮชินั่งนิ่งเงียบไปปล่อยให้สองคนนั่นดูถูกต่อโดยที่เขาไม่ได้สนใจถ้อยคำเหล่านั้นอีกต่อไป ในหัวคิดเพียงแค่จะต้องฆ่าทั้งคู่อย่างเดียว แล้วโชคชะตาเองก็เหมือนจะเป็นใจเมื่อจู่ ๆ ฮาตาโอกะก็ขอตัวกับมิคาโดะเพื่อไปทำธุระบางอย่างและวางแก้วบรั่นดีของตนทิ้งไว้ เขามองแก้วบรั่นดีนั่นและละสายตามาอย่างเป็นธรรมชาติ
ทีนี้ก็แค่รอโอกาส…
และแล้วโอกาสที่เฝ้ารอก็มาถึงเมื่อทั้งมิคาโดะและชายหนุ่มผมบลอนด์อีกคนจดจ่อกับการเล่นโทรศัพท์ในมือจนไม่สนใจรอบข้าง โฮชิก็ลุกขึ้นตรงไปทางที่จะไปห้องนํ้าและจังหวะที่เดินผ่านแก้วบรั่นดีของฮาตาโอกะเขาก็แอบหย่อนเม็ดยาลงไป โดยที่ไม่มีใครในห้องรู้ตัวหรือสังเกตเห็นเลยแม้แต่น้อย
ทันทีที่มาถึงห้องนํ้าโฮชิก็ทรุดตัวลงเขายกมือกุมหัวแน่น ทั้งตัวสั่นระริก เขาทำมันไปแล้ว เขาได้เอายาใส่ในแก้วของเจ้าคนสมควรตายนั่นไปแล้ว เขามองมือของตัวเองที่สั่นระริกความรู้สึกในใจปนเปกันไปทั้งสับสน หวาดกลัวและปิติยินดี จนสุดท้ายเขาก็หัวเราะออกมา หัวเราะอย่างไร้เสียงอยู่ในห้องนํ้าเพียงลำพัง
ย้อนกลับไม่ได้...มีแต่ต้องเดินหน้าต่อ
ความรู้สึกที่จะได้ฆ่าคนเป็นแบบนี้เองหรือ
แม่ครับ...ผม…ถอยไม่ได้แล้ว
...
หลังจากโฮชิไปสงบสติอารมณ์ตัวเองและพยายามทำทุกอย่างเหมือนปกติก็กลับมาที่ห้องรับแขกภายในห้องรับแขกฮาตาโอกะกลับมาแล้วและกำลังนั่งจิบบรั่นดีอยู่ ชายหนุ่มเดินผ่านไปนั่งโซฟาเดี่ยวตัวเดิมอย่างเป็นธรรมชาติและพยายามไม่มองท่าทางของอีกคนเพื่อไม่ให้ตัวเองดูมีพิรุธหรือทำตัวน่าสงสัย ฮาตาโอกะและมิคาโดะพูดคุยกันอีกครั้งก่อนที่รูมเมทผมแดงของเขาจะปรายตามองมาซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ฮาตาโอกะฟุบหน้าลงไปกับโต๊ะพอดี โฮชิเกร็งตัวขึ้นมาก่อนจะค่อยๆผ่อนคลายลงขณะเดียวกันก็มองมิคาโดะอย่างกล้า ๆ กลัว ๆเหมือนเดิม ในใจคิดหาทางออกว่าถ้าโดนจับได้แล้วจริง ๆ เขาจะต้องทำอย่างไรต่อ แต่ว่ามิคาโดะไม่รู้สึกถึงความผิดปกติแม้แต่น้อยและพูดออกมาว่า “เฮ้ย ไอ้จืด ตามมาดิ นึกได้ว่าหยิบของแกติดกระเป๋ามาว่ะ”
รูมเมทหัวแดงพูดจบก็ลุกขึ้นเดินนำไปทันทีเป็นการบอกได้ว่าไม่ใช่ประโยคคำถามแต่เป็นประโยคคำสั่งให้ทำตามมากกว่า โฮชิจึงไม่อาจปฏิเสธได้และลุกเดินตามรูมเมทไปโดยพยายามไม่เหลือบมองฮาตาโอกะที่อาจจะกลายเป็นศพไปแล้ว ทั้งสองคนเดินตามกันไปอย่างเงียบงันโดยมีมิคาโดะเดินนำและเขาเป็นผู้เดินตาม แม้จะรู้สงสัยว่าของอะไรที่ตนลืมไว้แต่ปกติของพวกเขาสองคนก็สลับกันอยู่บ่อยครั้งจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ถึงรูมเมทหัวแดงตรงหน้าในตอนนี้จะมีท่าทางแปลก ๆ บางทีหมอนี่อาจจะรู้ตัวแล้วแต่ไม่เป็นไร ในเมื่อรู้เขาก็ชิงลงมือฆ่าก่อนก็พอ
“ของอยู่ในกระเป๋า หาเอาเลย” มิคาโดะพูด โฮชิจึงเดินไปที่กระเป๋าอีกฝ่ายและหาของของตัวเองพลางบ่นกับตัวเองในใจ ‘รู้ว่ามีของของเราอยู่ก็ยังไม่แยกออกมาให้อีกนะ’
หาของในกระเป๋าไปได้สักพักเขาก็พบเสื้อของตัวเองจึงหยิบออกมาแล้วทำการเก็บของลงกระเป๋าให้กับรูมเมทอย่างเป็นระเบียนไม่อยากนั้นขืนทำเละก็คงจะกลายเป็นที่ระบายอารมณ์ของหมอนั่นอีก
“เจอแล้ว วันหลังนายน่าจะเช็กของให้ดีก่อนจะเก็บมันมานะ” โฮชิพูดพลางขยับตัวลุกขึ้นและหันกลับไปหามิคาโดะทว่าจังหวะที่หันกลับไปความรู้สึกเจ็บแปล็บตรงคอก็แล่นขึ้นมา ดวงตาสีนํ้าตาลเบิกกว้างอย่างตกใจ เลือดสีแดงสาดกระเซ็นใส่รูมเมทของตนที่ถือมีดอยู่ในมือซึ่งมีหลักฐานอยู่คาตาว่าเป็นผู้ปาดคอชายหนุ่ม เขาอ้าปากความรู้สึกเจ็บเสียดแทงจนสมองพร่าเบลอ เลือดสีแดงยังคงไหลออกมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
ทำไม...ไม่สิ…
เราจะมาตายไปก่อนได้ยังไง?
เรายังไม่ได้ฆ่าไอ้หมอนี่เลยด้วยซํ้า!
เมื่อนึกถึงเรื่องราวในอดีตแววตาของโฮชิก็เปี่ยนล้มไปด้วยความแค้นจนดวงตาแดงกํ่า เขายื่นนิ้วไปชี้หน้าคนตรงหน้าและเค่นเสียงออกมาจากลำคอที่เหวอะหวะจวนเจียนจะขาดอย่างยากลำบาก
“ฉันจะ...แค่ก...รอแกอยู่ใน...นรก เหมือนกับเพื่อนของแกที่ฉันฆ่าไป!” ทุกคำพูดที่กล่าวไปอัดแน่นไปด้วยความแค้นและหนักแน่นเพื่อให้คำพูดนี้สลักลึกลงไปในใจของเจ้าคนบัดซบตรงหน้า มิคาโดะฉีกยิ้มกว้างหาได้รู้สึกหวาดกลัวคำพูดนั้นแม้แต่น้อย เท้าข้างหนึ่งยกขึ้นเตะและเหยียบอกของโฮชิ ท่ามกลางสติที่พร่าเลือนและใกล้มอดดับ สิ่งที่เขาเห็นสุดท้ายก็คือ รูมเมทของตนโน้มหน้าเข้าไปใกล้พร้อมกับมีดในมือ
แม่ครับ...ผมขอโทษ
และโลกทั้งใบก็มืดดับหลงเหลือไว้เพียงเสียงหัวเราะอย่างเย้ยหยันและสนุกสนานที่คุ้นเคย
ดวงดาวดับแสง ร่วงหล่นอย่างไม่อาจหวนคืน
…
ห้องปิดตายชั้นสองพบศพผู้เสียชีวิตสองราย เรอิกิ โฮชิ และ โคซากะ มิคาโดะ สภาพศพของคนแรกนั้นถูกตัดลิ้น ส่วนอีกศพนั้นตายในห้องนํ้าขณะที่กำลังแช่นํ้าอยู่ โดยสาเหตุมาจาก...
Comments